Harvest Moon Skytree Village Review
กับอีกหนึ่งภาคของ Natsume, Harvest Moon Skytree Village หมู่บ้านแห่งต้นไม้ท้องฟ้า.. (แปลตรงไปมั้ย? ฮา) เกมนี้เป็นเกม Exclusive ที่ทำลงเครื่อง Nintendo 3DS นะครับ ดังนั้นถ้าใครสนใจละก็สามารถซื้อหาดาวน์โหลดได้จาก E-Shop หรือตามร้านเกมใกล้บ้านท่านได้เลย และไม่ต้องหลังไมค์มาถามเรื่องการเล่นแบบสายมืดนะครับ เพราะผมคงไม่มีคำตอบให้ครับ
เนื้อเรื่องในภาคนี้ คือเราที่เดินทางมาจากไหนมารู้ จนมาพบกับดินแดนอันแห้งแล้งแห่งนึง เราจะได้พบกับภูติที่จะพาเราไปพบกับเทพธิดาที่เคยดูแลปกปักษ์รักษาที่นี่ เธอจะเล่าถึงความเป็นมาของที่นี่ก่อนที่จะกลายมาเป็นสภาพที่ดูไม่ได้แบบนี้ ในท้ายที่สุดเราจะอาสาช่วยฟื้นฟูที่นี่ เพื่อให้กลับมาเป็นดินแดนที่น่าอยู่อีกครั้ง
ภารกิจหลักในภาคนี้ของเราจะเป็นการปลูกต้นไม้ Skytree ทั้ง 7 ต้นในที่แห่งนี้ เพื่อฟื้นฟูพลังของเทพธิดาให้สามารถกลับมาปกปักษ์รักษาที่แห่งนี้ได้อีกครั้ง
เกมเพลย์
Natsume ยังคงยึดแนวทาง Back to Basic เอาไว้อย่างเหนียวแน่น แม้แต่ในภาคใหม่นี้ก็ตาม ดังนั้นเกมเพลย์จะยังไม่มีความซับซ้อนมาก ซึ่งข้อดีของมันก็คือไม่จำเป็นต้องมานั่งวุ่นวายกับการเปิดบทสรุปมากนัก เพียงแค่เราเล่นไปเรื่อยตามเนื้อหาของเกมก็สามารถผ่านมิชชั่นต่าง ๆ ได้ไม่ยากเลย
เมื่อเราตื่นนอนขึ้นมา ก่อนอื่นเลยก็ต้องไปรดน้ำผัก ดูแลสัตว์ให้เรียบร้อย จากนั้นก็วิ่งเข้าเมือง หาซื้อของที่จำเป็นต้องใช้ต่าง ๆ แล้วก็วิ่งคุยกับคนในเมื่อง ถ้าเวลาเหลือก็อาจจะไปขุดเหมือง หรือตกปลา ตกมืดก็เข้านอน วนซ้ำ ๆ ไปได้เรื่อย ๆ ทุกวัน โดยไม่ต้องกลัวว่าเวลาจะไม่พอ การวนซ้ำแบบนี้ทำให้นึกถึงภาคเก่า ๆ สมัยก่อน อย่าง Harvest Moon 1-2-3, Back to Nature, หรือ Friends of Mineral Towns ก็จะมีปรากฏการณ์ทำงานวนซ้ำทุกวัน ถึงแม้อาจจะมีเปลี่ยนบ้างนิดหน่อยบางวัน แต่ส่วนใหญ่ก็จะวน ๆ ไปประมาณนี้
ส่วนที่แตกต่างที่สุดจากภาคดั้งเดิมก็ยังเป็นระบบมายด์คราฟต์ ที่ทำให้เราสามารถปรับแต่งพื้นผิวได้ในลักษณะที่เป็นช่อง ๆ ไป อย่างไรก็ตามในภาคนี้ เกมได้พัฒนาระบบให้ดียิ่งขึ้นจนผมบอกได้เลยว่าดีพอให้ใช้เล่นได้จริง ๆ แล้ว นั่นคือระบบมุมกล้อง Overhead View และ Farming View โดยทั้งสองมุมกล้องใหม่นี้ จะทำงานคล้าย ๆ กัน นั่นคือเป็นมุมกล้องที่มองจากมุมสูงและล็อกเอาไว้ ไม่ให้หมุนตามตัวละครจนงง (แต่เรายังหมุนกลองได้ทีละ 90 องศาด้วยปุ่ม L หรือ R) เหมาะแก่การใช้ระหว่างพรวนดิน รดน้ำ หรือตอนกำลังปรับพื้นผิว โดยทั้งสองมุมกล้องนี้จะแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยคือ ขณะที่กำลังเดินในโหมด Overhead View ตัวละครของเราจะหันหน้าไปตามทิศทางของการเดินเหมือนปกติ ส่วน Farming View ตัวละครของเราจะถูกล็อกเอาไว้ไม่ให้หันหน้าไปตามทิศทางการเดิน แต่จะเลื่อนตัวเองไปทั้งแบบนั้นเลย
การใช้เครื่องมือต่าง ๆ ก็ยังคงเป็นแบบเลือกใช้อุปกรณ์อัตโนมัติ โดยดูจากว่าเรากำลังปฏิสัมพันธ์กับวัตถุแบบไหนอยู่ มันก็จะเลือกใช้ให้เลยไม่ต้องมาคอยเปลี่ยนอุปกรณ์ เช่นเรายืนอยู่ข้างสัตว์ที่กำลังต้องการการแปรงขน เมื่อเราคุยก็จะกลายเป็นการแปรงขนให้ทันที หรือถ้าเรายืนอยู่หน้าเมล็ดที่โรยไว้ เมื่อเราสำรวจก็จะกลายเป็นการรดน้ำ แรก ๆ อาจจะรู้สึกแปลก ๆ ถ้ายังไม่คุ้นกับระบบนี้ อาจจะทำให้กดพลาดบ่อยจนหงุดหงิด แต่ถ้าเล่นไปจนคล่องก็จะไม่มีปัญหา แถมช่วยทำงานได้เร็วขึ้นระดับนึงเลยทีเดียว
ระบบปลูกผักในภาคนี้ จุดขายคือการกลายพันธุ์ของผัก ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในซีรีย์ต้นฉบับ (แต่มีอยู่ก่อนแล้วในภาค The Lost Valley) เช่น ถ้าเราปลูก Onion ในฤดูใบไม้ผลิ ผลผลิตที่เราได้ อาจจะได้เป็น Scallion แทน และถ้าหากเราปลูกพืชชนิดเดียวกันในฤดูอื่นก็อาจจะหลายพันธุ์เป็นพืชแตกต่างกันไป ซึ่งพืชทุกชนิดในเกมนี้สามารถกลายพันธุ์ได้ นอกจากนั้นการโรยเมล็ด เราสามารถโรยทีละ 9 ช่องได้เลย ด้วยการกดปุ่ม A ค้างไว้ให้นานพอ การรดน้ำช่วงแรกอาจจะทำได้ทีละช่อง แต่ถ้าได้อัปเกรดเครื่องมือแล้วก็จะรดได้ทีละหลายช่องมากขึ้น
การไหว้วานภูติเก็บเกี่ยวในภาคนี้สามารถทำได้ โดยภูติแต่ละสีจะมีความสามารถแตกต่างกันไป ซึ่งในช่วงแรกนั้นเราจะขอให้ช่วยได้เพียงวันละ 1 ตนเท่านั้น แต่เราจะสามารถขอให้ช่วยพร้อมกันได้หลายตนมากขึ้นเมื่อสามารถปลดล็อกเนื้อเรื่องได้ และเมื่อขอให้ช่วยแล้วในวันถัดไปภูติตนนั้นจะขอพักก่อน 1 วัน ไม่สามารถขอให้ช่วยแบบต่อเนื่องได้
ระบบสร้างสิ่งก่อสร้างในภาคนี้ ทำได้โดยเตรียมวัสดุให้พร้อมแล้วไปคุยกับ Doc เพื่อเลือกว่าจะสร้างอะไรพร้อมกับเงินค่าสร้าง เราก็จะได้สิ่งก่อสร้างนั้นมา โดยเราสามารถเลือกได้ว่าจะนำสิ่งก่อสร้างนั้นไปจัดวางไว้ตรงไหนตามต้องการ และเมื่อวางลงไปแล้วเราสามารถจะกลับมาจัดตำแหน่งใหม่ได้ทุกเมื่อ
การหาเงินด้วยวิธีอื่น ๆ นอกจากการปลูกผัก เลี้ยงสัตว์แล้วขายผลผลิตแบบตรง ๆ ก็จะมีการตกปลา ที่สามารถทำกำไรได้แบบเนื้อ ๆ เน้น ๆ เพราะไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แค่มีเบ็ดตกปลาก็พอแล้ว นอกจากนั้นก็มีการขุดเหมืองหาแร่เอาไปขายก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ทำรายได้ดีมาก ซึ่งเราสามารถขายแร่ดิบ ๆ ได้เลย หรือจะเอาไปวิเคราะห์ก่อนขายเพื่อเพิ่มมูลค่าก็ได้ (แต่บางอันวิเคราะห์ได้มาแล้วขายไม่คุ้มทุน ดังนั้นต้องคำนวณให้ดีก่อน) การทำอาหารก็สามารถเอาไปขายได้ ส่วนของป่าในภาคนี้ก็ยังไม่มีให้เก็บเช่นเดิม ท้ายสุดคือการทำเควสต์ แต่ก็ไม่ใช่ทุกเควสต์ที่จะได้ผลตอบแทนเป็นเงิน ส่วนใหญ่มักจะได้เป็นสิ่งของซะมากกว่า
การเพิ่มความสัมพันธ์กับตัวละครอื่น ๆ ในภาคนี้ ซึ่งจะใช้คำว่า Chemistry ยังคงใช้ระบบที่เรียบง่ายสุด ๆ นั่นคือการคุยบ่อย ๆ วันนึงอาจจะคุยกับตัวเดิม 2 – 3 ครั้ง ซึ่งรูปแบบก็จะเปลี่ยนไประหว่างที่คุย นอกจากนั้นการทำเควสต์จากตัวละครต่าง ๆ ให้สำเร็จก็จะช่วยค่ามิตรภาพได้อย่างดีเช่นกัน แต่กลับไม่มีการมอบของขวัญเพื่อเพิ่มค่ามิตรภาพในภาคนี้ แม้แต่วันเกิดเราก็ไม่จำเป็นต้องให้ของ แค่เดินไปคุยก็เหมือนอวยพร Happy Birthday เรียบร้อยแล้ว ที่สำคัญเรายังสามารถเช็กความสัมพันธ์ของตัวละครนั้นได้เป็นระดับ % ซึ่งจะมีบอกอยู่ในเมนูเกี่ยวกับชาวบ้าน ก็ถือว่าสะดวกดีเหมือนกัน
กราฟิก
สิ่งที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับภาคก่อน ๆ ทั้งสองภาค ไม่ว่าจะเป็น The Lost Valley ก็ดี หรือ Seeds of Memories ก็ดี ต่างใช้ตัวโพลิกอนแบบโปลิโอหัวโตตัวลีบ มาในภาคนี้เราจะได้เห็นตัวละครแบบสมส่วน ทำให้บรรยากาศของเกมดูจริงจังขึ้นมาทันทีทันใด นอกจากนั้นอนิเมชันการเดินไปเดินมา หรือการทำกิจกรรมต่าง ๆ ก็ดูดีมากขึ้นจนไม่ขัดตาขัดใจผมอีกแล้ว ก็เรียกว่าทำได้ดีขึ้นมากทีเดียว
แต่ยังไงก็ตามในเรื่องของสิ่งของต่าง ๆ ภายในเกม ถึงแม้จะอัด Texture ให้ตัว Object มากขึ้นแล้ว แต่ Object ภายในเกมก็ยังน้อยทำให้เมืองดูโหลงเหลงไปหน่อย ยกตัวอย่างว่าถ้าเพิ่มพวกไฟถนน ม้านั่ง พุ่มไม้ ต้นไม้ รั้วกั้นต่าง ๆ หรือแม้แต่พื้นถ้าทำให้หญ้ามีหลาย ๆ แพทเทิร์น ก็ช่วยให้เมืองดูสมเป็นเมืองและมีชัวิตชีวามากขึ้น ซึ่งในเรื่องนี้คงต้องรอดูในภาคต่อ ๆ ไปว่าจะดีขึ้นไปได้มากกว่านี้อีกมั้ย
รายละเอียดอื่น ๆ
การเก็บรายละเอียดของตัวละครภายในเกม เท่าที่เล่นก็ยังดูแช็ง ๆ ไม่มีชีวิตชีวามากนัก อย่างวันที่ฝนตก ก็ยังเจอตัวละครบ่นว่า “วันนี้ร้อน…” หรือการเดินไปเดินมาของตัวละครในแผนที่ ก็มั่วไปมาเหมือนเดิม ไม่ได้มีเรื่องราว พอฉากมีการรีโหลด ตัวละครก็จะโดดไปเรื่อย ๆ ไม่ได้อยู่จุดเดิม ทำให้ลำบากนิดหน่อย ถ้าเรากำลังเล็งจะไปหาใครคนใดคนหนึ่ง แล้วจำเป็นต้องเปลี่ยนฉากไปมา
เรื่องของสภาพอากาศ ในภาคนี้ ถึงแม้เป็นวันเทศกาลฝนก็สามารถตกได้ งานเทศกาลก็จะดำเนินไปทั้งฝนตกแบบนั้นแหละ ถึงแม้มันอาจจะสะท้อนความเป็นจริงที่ว่า เป็นไปไม่ได้ที่เราจะควบคุมสภาพอากาศ แต่ด้วยระบบเกมโดยรวมที่ไม่ได้เน้นความสมจริงสมจังอะไรมาตั้งแต่แรก ทำให้คิดได้อย่างเดียวว่า “ทำพลาดสินะ…”
เรื่องนี้น่าจะมีตั้งแต่ภาคที่แล้วละ คือเวลาที่มีคนไปเดินแถวบ่อเทพธิดา เราจะไม่สามารถเจอเทพธิดา หรือภูติได้ เพราะพวกเขาไม่ยอมให้คนอื่นเห็นนอกจากเราคนเดียว ดังนั้นถ้าเราอยากจะเจอ แต่ดันมีคนอยู่ก็อดไปนะ
สรุป
สิ่งที่ผมประทับใจคือเกมมีพัฒนาการ ทั้งด้านกราฟิกและเกมเพลย์ รวมทั้งเนื้อเรื่องและเหตุการณ์ต่าง ๆ ถึงแม้ความหวังสูงสุดคืออยากให้ Natsume ทำภาพสไตล์ลายเส้น 2D แต่มาถึงจุดนี้ก็นับว่าทำออกมารับได้ เควสต์เนื้อเรื่องที่ดูน่าติดตามดี ตัวละครทุกตัวจะมีเป้าหมายในแบบของตัวเองทำให้เวลาที่มาขอความช่วยเหลือจากเรา เราก็จะได้ลุ้นไปด้วยว่าจะทำสำเร็จมั้ย แล้วจะเป็นยังไงต่อ ส่วนด้านการปลูกผักก็ทำมาได้ค่อนข้างโอเคแล้ว เพราะเครื่องไม้เครื่องมือที่สามารถอัปเกรดได้ก็ช่วยให้งานปลูกผักไม่ได้ดูหนักหนาเกินไปจนหน้าเบื่อ การโรยเมล็ดทีละ 9 ช่องเองก็ช่วยให้อยากปลูกผักขึ้นเยอะ
และท้ายสุดสำหรับเรื่องมายคราฟต์แอเรียไม่ได้เป็นประเด็นติดใจอะไรผมอีกแล้ว ก็ถือว่าเป็น Harvest Moon สไตล์ Natsume ไป ขอแค่สามารถพัฒนาให้ระบบนี้มันดีขึ้นอีกได้ก็นับว่าดีเยี่ยม
ผมคิดว่าเกมนี้น่าจะเหมาะกับคนที่อยากจะเล่นปลูกผัก หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ภายในเกมที่ต้องการอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องแคร์กับสังคมมากนักเหมือนกับเกมภาคต้นฉบับที่การสร้างสัมพันธ์อันดีกับตัวละครตัวอื่น ๆ ภายในเกมเป็นสิ่งจำเป็นมาก ดังนั้นคนที่เบื่อหน่ายกับการที่จะต้องมานั่งจำว่าใครคนไหนชอบอะไร คุณอาจจะได้เล่นอย่างสบายใจมากกว่าในเกมซีรีย์นี้ของ Natsume ก็ได้ครับ
สามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่เพจ Harvest Moon Thailand Board หรือเข้ามาพูดคุยกับพวกเราและเพื่อน ๆ กันได้ที่ Harvest Moon Thailand Community นะครับ